Monatea - The taste and visibility
M O N A T E A
การชมศิลปะมักรู้จักกันดีผ่านการดูด้วยสายตา ทั้งการมองภาพเบื้องหน้า และการอ่าน มากขึ้นไปหน่อยก็อาจเป็นทั้งการฟัง และการสัมผัสด้วยร่างกาย แต่คงไม่บ่อยนักที่มนุษย์จะชื่นชมและรับรู้งานศิลปะผ่าน 'การรับรส' เฉกเช่นการลิ้มรสอาหาร
เคยมีใครคนหนึ่งพูดไว้ว่า "ในอดีต ศิลปะเคยรับใช้ชนชั้นสูงมาก่อน" และด้วยความที่ศิลปะก่อกำเนิดอย่างเบ่งบานในฝั่งยุโรป 'เธอ' จึงได้เลือกล้อเลียนคำพูดเหล่านั้นในยุคสมัยนี้...
ภาพจำของชนชั้นสูงในยุโปรสมัยก่อนนั้นมักเป็นภาพของชายหญิงสำอางผู้มีเวลาว่าง 'นั่งจิบน้ำชา' ยามบ่าย ต่างจากชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องทำไร่ ทำการเกษตรและไม่อาจฟุ่มเฟือย ด้วยความแตกต่างนี้เธอจึงได้นำ 'ชา' เข้ามาเป็นจุดเด่นของงานเพื่อล้อเลียนกับประโยคดังกล่าว
ใบชาถือกำเนิดจากเอเชีย และที่รู้จักกันดีที่สุดเห็นจะเป็นประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมการดื่มชามายาวนานและโด่งดัง เธอนำเอาจุดนี้มาสืบหาต่อเกี่ยวกับการเข้ามาของใบชาในยุโรปและมันก็กลายเป็นความหมายแฝงในเรื่องของการเข้ามาทางอารยธรรมและค่านิยมในประวัติศาสตร์ ก่อนที่ภาพลักษณ์ของชิ้นงานจะถูกล้อเลียนด้วยภาพวาดอันโด่งดังอย่าง Mona Lisa ของ Leonardo Da Vinci ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในโลก
เธอเสนอที่จะแทนที่สีต่างๆด้วยใบชาเอเชียหลากหลายชนิด แทรกด้วยสมุนไพรไทยเพื่อสร้างกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างจากชาทั่วไปให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้เป้าหมายจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงมิติที่แตกต่างกันของการดูและการลิ้มรส ทว่าด้วยความที่เธอชื่นชอบในรสชาติของชา และใส่ใจกับการเบลนด์ชาเป็นงานอดิเรก เธอจึงให้ความสำคัญกับการเลือกใบชามาใช้เป็นส่วนประกอบของงาน ที่นอกจากจะต้องมีเฉดสีที่สามารถใช้ล้อเลียนภาพเขียนได้แล้วยังต้องมีรสชาติและกลิ่นที่โดดเด่นและกลมกล่อมอีกด้วย
ความต้องการของเธอคือการให้ผู้ชมได้ยืนดื่มด่ำกับภาพล้อเลียนนั้นด้วยสายตา ชิ้นงานจะสะท้อนกับภาพจำของภาพเขียนอันเลื่องลือที่เคยเห็นผ่านตามาไม่มากก็น้อยนั้น ก่อนจะให้ขยับเข้าใกล้ภาพเพื่อสูดกลิ่นชาและสมุนไพรต่างๆบนภาพ และจบลงด้วยการที่ให้ผู้ชมได้ลิ้มรส 'น้ำชา' ที่ถูกเบลนด์ขึ้นใหม่อย่างเฉพาะตัว เพื่อให้เห็นถึงความงามที่แตกต่างกันจากความคุ้นชินทั้งทางสายตา และการรับรส
ท้ายที่สุดแม้ชิ้นงานจะไม่ได้ออกมาสมบูรณ์แบบ แต่สาสน์ที่เธอต้องการสร้างก็ได้เสร็จสมบูรณ์ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว...
ภาพลักษณ์ของงานศิลปะชิ้นเอกที่ถูกล้อเลียนขึ้นมาใหม่ด้วยใบชานับร้อย กลิ่นที่โชยออกมาจากภาพนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละจุด เช่นเดียวกับรสชาติของน้ำชาที่เกิดขึ้นจากการจัดอัตราส่วนในการเบลนด์ชาแบบเดียวกับปริมาณชาแต่ละชนิดบนภาพ และแทรกด้วยความนัยของอดีตและประวัติศาสตร์อันห่างไกล วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี
ในการชมงานชิ้นนี้ผู้ชมจะได้จดจำความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่าง 'ความงามผ่านการรับรู้ด้วยสายตา' และ 'ความงามผ่านการรับรู้ด้วยลิ้น' ที่จะสร้างภาพจำใหม่ให้แก่พวกเขา
"เคยคิดไหมว่า...ถ้าเราลิ้มรสงานศิลปะได้ รสชาติของมันจะเหมือนกับที่ตาเราเห็นหรือไม่ รสชาติของประวัติศาสตร์จะเหมือนกับที่เรารับรู้หรือไม่"
เคยมีใครคนหนึ่งพูดไว้ว่า "ในอดีต ศิลปะเคยรับใช้ชนชั้นสูงมาก่อน" และด้วยความที่ศิลปะก่อกำเนิดอย่างเบ่งบานในฝั่งยุโรป 'เธอ' จึงได้เลือกล้อเลียนคำพูดเหล่านั้นในยุคสมัยนี้...
ภาพจำของชนชั้นสูงในยุโปรสมัยก่อนนั้นมักเป็นภาพของชายหญิงสำอางผู้มีเวลาว่าง 'นั่งจิบน้ำชา' ยามบ่าย ต่างจากชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่ต้องทำไร่ ทำการเกษตรและไม่อาจฟุ่มเฟือย ด้วยความแตกต่างนี้เธอจึงได้นำ 'ชา' เข้ามาเป็นจุดเด่นของงานเพื่อล้อเลียนกับประโยคดังกล่าว
ใบชาถือกำเนิดจากเอเชีย และที่รู้จักกันดีที่สุดเห็นจะเป็นประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมการดื่มชามายาวนานและโด่งดัง เธอนำเอาจุดนี้มาสืบหาต่อเกี่ยวกับการเข้ามาของใบชาในยุโรปและมันก็กลายเป็นความหมายแฝงในเรื่องของการเข้ามาทางอารยธรรมและค่านิยมในประวัติศาสตร์ ก่อนที่ภาพลักษณ์ของชิ้นงานจะถูกล้อเลียนด้วยภาพวาดอันโด่งดังอย่าง Mona Lisa ของ Leonardo Da Vinci ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในโลก
เธอเสนอที่จะแทนที่สีต่างๆด้วยใบชาเอเชียหลากหลายชนิด แทรกด้วยสมุนไพรไทยเพื่อสร้างกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างจากชาทั่วไปให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้เป้าหมายจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงมิติที่แตกต่างกันของการดูและการลิ้มรส ทว่าด้วยความที่เธอชื่นชอบในรสชาติของชา และใส่ใจกับการเบลนด์ชาเป็นงานอดิเรก เธอจึงให้ความสำคัญกับการเลือกใบชามาใช้เป็นส่วนประกอบของงาน ที่นอกจากจะต้องมีเฉดสีที่สามารถใช้ล้อเลียนภาพเขียนได้แล้วยังต้องมีรสชาติและกลิ่นที่โดดเด่นและกลมกล่อมอีกด้วย
ความต้องการของเธอคือการให้ผู้ชมได้ยืนดื่มด่ำกับภาพล้อเลียนนั้นด้วยสายตา ชิ้นงานจะสะท้อนกับภาพจำของภาพเขียนอันเลื่องลือที่เคยเห็นผ่านตามาไม่มากก็น้อยนั้น ก่อนจะให้ขยับเข้าใกล้ภาพเพื่อสูดกลิ่นชาและสมุนไพรต่างๆบนภาพ และจบลงด้วยการที่ให้ผู้ชมได้ลิ้มรส 'น้ำชา' ที่ถูกเบลนด์ขึ้นใหม่อย่างเฉพาะตัว เพื่อให้เห็นถึงความงามที่แตกต่างกันจากความคุ้นชินทั้งทางสายตา และการรับรส
Monatea, installation and parody art, 2019
ท้ายที่สุดแม้ชิ้นงานจะไม่ได้ออกมาสมบูรณ์แบบ แต่สาสน์ที่เธอต้องการสร้างก็ได้เสร็จสมบูรณ์ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว...
ภาพลักษณ์ของงานศิลปะชิ้นเอกที่ถูกล้อเลียนขึ้นมาใหม่ด้วยใบชานับร้อย กลิ่นที่โชยออกมาจากภาพนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละจุด เช่นเดียวกับรสชาติของน้ำชาที่เกิดขึ้นจากการจัดอัตราส่วนในการเบลนด์ชาแบบเดียวกับปริมาณชาแต่ละชนิดบนภาพ และแทรกด้วยความนัยของอดีตและประวัติศาสตร์อันห่างไกล วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณี
ในการชมงานชิ้นนี้ผู้ชมจะได้จดจำความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่าง 'ความงามผ่านการรับรู้ด้วยสายตา' และ 'ความงามผ่านการรับรู้ด้วยลิ้น' ที่จะสร้างภาพจำใหม่ให้แก่พวกเขา
"เคยคิดไหมว่า...ถ้าเราลิ้มรสงานศิลปะได้ รสชาติของมันจะเหมือนกับที่ตาเราเห็นหรือไม่ รสชาติของประวัติศาสตร์จะเหมือนกับที่เรารับรู้หรือไม่"
END
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น